
รีวิว Into The Storm เนื้อเรื่อง
Into The Storm เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักล่าพายุกลุ่มนึง (จริงๆ มันมี 2 กลุ่มนะ) .. เฝ้าไล่ล่าพายุ เพื่อหวังจะได้ภาพในสิ่งที่นักล่าพายุทุกคน และ คนส่วนใหญ่อยากจะเห็น นั่นคือ .. ใจกลางของพายุทอร์นาโด รีวิวหนังฝรั่ง
ช่วงแรกประมาณ 20 นาทีแรก .. คล้ายๆ กับเป็นการเกริ่นแนะนำตัวละครต่างๆ พร้อมกับการถ่ายภาพแบบ Home Video ซึ่งในหนังกว่า 50% จะเป็นฉากแบบนี้ แต่ไม่ต้องกลัวครับ ภาพไม่สั่นมาก และ ไม่ปวดหัว .. ดูแล้วเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริงๆ
สิ่งที่ผมชอบมากสำหรับเรื่องนี้ ก็คือ .. “พลังการทำลายล้าง” ของพายุทอร์นาโด .. ในหนังแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของพายุทอร์นาโดในอย่างน่าสะพรึงกลัว
ถ้าให้เทียบกับหนังพายุในตำนานอย่าง Twister .. ผมกลับคิดว่า Into The Storm ทำได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ CG , พลังทำลายล้างของพายุทอร์นาโด , รวมไปถึงการถ่ายโดยใช้มุมกล้องแบบ Handheld (มุมมองบุคคลที่ 1) ซึ่งทำได้ดีมาก เสมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริงๆ รีวิวหนังแอ็คชั่น

ถ้าถามว่า แล้วมีข้อเสียมั๊ย ? .. อืมม จะตอบไงดีล่ะ เอาเป็นว่า เป็นจุดขัดใจผมเล็กๆ น้อยๆ ล่ะกัน .. อย่างเช่น การตัดต่อภาพที่บางฉากรู้สึกว่าถ่ายเป็น Long Take ไปก็ได้นะ .. หรือ อย่างบางฉาก เช่น ฉากในรถ ที่ผมรู้สึกว่าเหมือนจะ CG ไปนิดนึง (แต่ก็ไม่ถึงกับสะดุดอารมณ์) .. บวกกับ บทหนังที่ดูจะเป็นบทหนังไปนิดนึง จริงๆ ถ้ายอมให้มีตัวละครหลักตายๆ ไปบ้าง ก็น่าจะดูดีกว่านะ (หลายฉากที่ผมคิดว่าตัวละครน่าจะตาย ก็ดันรอดชีวิตมาจนได้)
ส่วนถ้าถามว่าแล้วเวอร์มั๊ย ? .. ก็คงจะบอกว่า จะว่าเวอร์ก็ได้นะ .. เพราะเราไม่เคยเจอข่าวพายุทอร์นาโดลงกลางเมือง เลยรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ (มั้ง)
ฉากที่ผมชอบมากที่สุดหรอ ? .. ก็คงต้องเป็นฉากของ พีท (ในตอนสุดท้ายใกล้จบเรื่อง) .. ไม่เล่าครับ ไปดูเอง โคตรได้อารมณ์ .. ดูฉากนี้แล้ว ผมลองได้ถามความรู้สึกตัวเอง ว่าถ้าตัวเองจะรู้สึกยังไง .. ผมตอบตัวเองไม่ได้ครบ อึ้งแดรก
ผมคิดว่า ถ้าเพื่อน ๆ ได้ดูฉากนี้ของ พีท .. จะต้องมีคนที่ย้อนถามตัวเองมั่งแหละ ว่าถ้าตัวเองเป็นพีทในสถานการณ์นั้น จะรู้สึกยังไง ?
รีวิว Into The Storm เนื้อหาโดยรวม
สรุป สั้นๆ .. ผมคิดว่า Into The Storm ทำได้ดีกว่าหนังในตำนานอย่าง Twister พอสมควร .. ทั้งในเรื่อง CG , เนื้อเรื่อง , ความสมจริง , อารมณ์ของสถานการณ์ในเรื่อง และ พลังทำลายล้างของพายุทอร์นาโด
ไม่เสียดายตังค์แน่นอนครับ .. ไปดูกันเถอะ .. และถามตัวเองนะ ว่าถ้าคุณเป็น พีท ในฉากนั้น คุณจะรู้สึกยังไง และ พูดอะไรกับตัวเอง…
Into the Storm (2014) โคตรพายุมหาวิบัติกินเมือง
โคตรพายุสมชื่อ แถมวิบัติกินเมืองจริงๆ ดูหนัง,ดูหนังออนไลน์
เรื่องราวในแต่ละวันของเมืองซิลเวอร์ตันที่ได้รับความเสียหายจากพายุทอร์นาโด ที่โหมกระหน่ำอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั่วทั้งเมืองต้องอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนและพายุไซโคลนที่รุนแรง แม้แต่ผู้ที่สังเกตการณ์พายุก็มีการพยากรณ์ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะมา ผู้คนส่วนใหญ่ต้องหาที่หลบภัยและบางคนต้องถูกพัดไปตามกระแสพายุ เป็นการทดสอบว่านักล่าพายุจะไปเก็บภาพครั้งหนึ่งในชีวิตได้ไกลสุดแค่ไหน เรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านสายตาและมุมมองของนักล่าพายุมืออาชีพ มือสมัครเล่นที่แสวงหาความตื่นเต้น และพลเมืองผู้กล้าหาญ

ในหนังจะพยายามสื่อด้วยภาพจากมุมมองของคนถ่ายวิดีโอ ที่เคยดูมาก็หลายเรื่อง เราจะไม่ค่อยชอบมุมกล้องแบบนี้ เพราะดูแล้วเวียนหัว แต่สำหรับเรื่องนี้ถือว่า ภาพไม่สั่นมาก แต่ยังให้อารมณ์ของวิดีโอที่ถ่ายกันเองอยู่ หนังจะเล่าเหตุการณ์ของคนในเมืองแบบคร่าวๆ จะเน้นไปที่ครอบครัวนึง แน่นอนว่าต้องใส่ดราม่าลงไป แต่หนังก็ไม่เน้นดราม่ามาก เน้นความตื่นเต้นกับพายุมากกว่า ช่วงแรกๆ จะเหมือนหนังวัยรุ่น ฮาบ้าง ก็เพลินๆ ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้อาจจะเบื่อๆ แต่เมื่อเข้าถึงฉากพายุทอร์นาโด จัดเต็มมาก ทั้งภาพและเสียง ทั้งลุ้น และตื่นเต้น ถึงขั้นเกร็งตามไปกับหนัง CG จัดว่าดีเลยทีเดียว แต่เรื่องนี้ที่เด็ดมากๆ คือ ซาวด์เอฟเฟค กระหึ่มสมจริงมาก ยิ่งทำให้หนังดูตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
หนังไซไฟที่น่าติดตาม
หนังอาจจะไม่ได้เจาะลึกเรื่องข้อมูลของทอร์นาโดมากมายนัก จะเน้นการเก็บภาพเหมือนหนังเรียลลิตี้มากกว่า ตัวหนังมีอะไรเยอะกว่าในตัวอย่างมาก แต่ด้วยโปรเตอร์โปรโมทอาจจะดูไม่ค่อยดึงดูด และดูเป็นหนังฟอร์มเล็ก พอเข้าไปดูแล้วรู้สึกชอบมาก สนุก ลุ้นทั้งเรื่อง พายุดูยิ่งใหญ่อลังการมาก เหมือนหนังผจญภัยวันโลกวิบัติเรื่องนึง ที่ให้ความรู้สึกสมจริง และการหาวิธีเอาตัวรอด จากประสบการณ์ตรงถือว่าให้อารมณ์ได้ดีมาก แม้จะขัดๆ กับตัวตลกในเรื่องอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นสีสันดีค่ะ ที่ชอบอีกอย่างคือ รถของนักล่าพายุเดอะไททัส ดูเท่และสารพัดประโยชน์มาก

เมื่อเทียบกับ Twister แน่นอนว่าต้องมีคนถามถึงเรื่องนี้เพราะเป็นหนังของนักล่าพายุคล้ายๆกัน เราเลยไปหามาดู หนังค่อนข้างจะคนละอารมณ์เลย ถึงแม้หนังจะต่างกันปีกันมาก ถ้าพูดถึงเรื่องเทคนิคการถ่ายทำและ CG แน่นอนว่า Into the Storm ต้องดีกว่ามากอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึงเฉพาะเนื้อเรื่องและการเล่าเรื่อง เราชอบ Into the Storm มากกว่า เพราะดูเข้าถึงได้มากกว่า ไม่ใช่แค่การเสี่ยงตายแบบนักล่าพายุ เพื่อศึกษาและอยากรู้เกี่ยวกับทอร์นาโดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเล่าถึงการต่อสู้กับพายุเพื่อหาวิธีเอาชีวิตรอด เลยทำให้เราเข้าถึงได้มากว่า (เพราะชีวิตก็เคยเสี่ยงตายกับภัยธรรมชาติมาเยอะ 555)
ข้อดีของหนังเรื่องนี้
หนังเล่าถึงเรื่องราวที่เมืองซิลเวอร์ตันได้รับความเสียหายจากพายุทอร์นาโดที่พัดมาสร้างความเสียหายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประชาชนในเมืองต้องอยู่แบบหวาดผวาไม่รู้ว่าพายุจะพัดมาวันไหน การพยากรณ์อากาศที่ไม่สามารถคำนวนความแน่นอนได้ ทำให้ผู้คนอยู่ในเมืองพากันหวาดผวา จนกระทั่งเกิดพายุลูกสุดท้ายขึ้น จะทำให้พายุนี้ฝังลึกอยู่ในความรู้สึกของคนในเมืองไปอีกนาน
Into The Storm เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักล่าพายุกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามอยากเก็บภาพพายุ ยิ่งใกล้วงพายุมากเท่าไหร่ยิ่งถือเป็นช็อตเด็ดกลายเป็นความฝันสูงสุดของพวกเค้า โดยไม่เคยเกรงกลัวต่อภัยอันตรายที่หนักหน่วงท่ามกลางความอยากรู้อยากเห็น

การดำเนินเรื่องช่วงครึ่งชั่วโมงแรก จะเป็นการเกริ่นนำตัวละครที่มีบทบาทในเรื่องราวและมีความสำคัญในการดำเนินเรื่อง การถ่ายทำของหนังเรื่องนี้ เน้นการถ่ายทำจากกล้องวิดีโอเพื่อความสมจริงในฉากของการหลบหนี ทำให้คนดูรู้สึกว่ากำลังหนีพายุอยู่จริง ๆ แต่ภาพก็ไม่ได้สั่นไหวมากพอได้อรรถรสอยู่แต่ถ้าใครไม่ชอบก็คงเวียนหัวไปเลย
อะไรคือสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ Power of Storm ครับ ภาษาไทยก็พลังทำลายล้างของพายุ หนังพยายามสื่อให้คนดูเห็นถึงความน่ากลัวของพายุทอร์นาโด ว่าพลังทำลายล้างน่ากลัวแค่ไหน นอกจากที่เห็นขณะที่พายุก่อตัว มนุษย์ที่หนีไม่พ้นก็อาจจะถูกดูดเข้าไปในวงพายุ หลังจากนั้นพายุก็จะเริ่มทำลายอาคารบ้านเรือน พัดต้นไม้ หลังคา แม้กระทั่งรถยนต์ก็ปลิวว่อน เสียหายมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อพายุสงบ สิ่งที่คงเหลือไว้ก็คือความเสียหายที่พังราบเป็นหน้ากลอง
รีวิว Into The Storm ความรู้สึกหลังดู
หนังที่มีความคล้ายคลึงกับ Into the Storm ก็นึกได้เรื่องเดียวคือ Twister แต่ว่า Into the Storm เป็นภาพยนตร์ยุคใหม่ที่มีการพัฒนาของเรื่องราวและ CG ขึ้นมาเยอะมาก ทำให้คนดูนึกถึงเรื่องราวและเข้าไปอยู่ในวงพายุได้สมจริงกว่าหนังTwister มาก
อะไรคือข้อเสีย ผมต้องบอกตามตรงว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นตัวละครเลยแต่หนังก็ทำร้ายคนดูด้วยการ ทำให้ตัวละครหลักตายซะงั้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังแย่ลง เพราะในชีวิตจริงหากคนเราเจอสถานการณ์พายุแบบนั้นมันจะตายตอนไหนก็ไม่มีใครบอกได้ หนังกำลังจะบอกคนดูว่า พายุที่ร้ายกาจ คร่าชีวิตคนได้ทุกคนแม้แต่พระเอกหนังก็ตาม 555
คะแนนเนื้อเรื่อง 8/10 ผมชอบตรงที่หนังนึกจะฆ่าตัวละครหลักก็เอาเลย เพราะมันคือชีวิตจริง ที่เราเจอในเหตุการณ์พายุทอร์นาโด พายุไม่เลือกหน้าหรอกครับว่าจะพรากชีวิตใคร คนดูอย่างผมก็สะเทือนใจและก็หวาดกลัวกับเรื่องแบบนี้

พอสมควรนะครับ หนังค่อนข้างสื่ออารมณ์ให้คนดูเห็นถึงการพยายามหนีเอาตัวรอดของมนุษย์ เป็นสัญชาติญาณอยู่แล้ว เหมือนหนังแนวเอาชีวิตรอดครับใครหนีทันก็ทัน หนีไม่ทันก็ตาย
คะแนนเอฟเฟคต์ 9/10 ภาพในวงพายุทอร์นาโด โดยเฉพาะช็อตที่ทอร์นาโดพัดเข้าไปทำลายปั๊มน้ำมันจนเกิดเป็นประกายไฟ ทำให้ทอร์นาโดธรรมดาที่น่ากลัวอยู่แล้วกลายเป็นทอร์นาโดเพลิง เพิ่มความรุนแรงในการดูดทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าไปในวงพายุ CG ที่เค้าทำออกมามันเนียน มันดูน่ากลัว มันดูทำให้ความรู้สึกสมจริง เหมือนผมเข้าไปอยู่ในวงพายุ
เมื่อวันก่อนขวัญได้ไปดู Disaster Movie เรื่อง Into the Storm คนเดียวมา
ตอนดู Trailer ก็ว่านึกถึง Twister ที่เคยดูตอนเด็กๆ แล้ว
พอมาดู Full Movie ยิ่งนึกถึง Twister เข้าไปใหญ่ จนถึงกับต้องไปโหลดบิตมาดู
(หมายเหตุ การโหลดบิตเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ)
บทสรุปสุดท้าย
จริงๆ แอบมีความหลังกับ Twister
จำได้ว่าเป็นหนังเรื่องแรกที่พ่อกับแม่พาเข้าไปดูในโรงหนัง ตอนนั้นเรายังประมาณ 7 ขวบเอง
และช่วงมัธยม ช่องเคเบิ้ลทีวีชอบเอามาฉายซ้ำ จึงได้ดูบ่อยมาก
แต่ตอนเด็กๆ ดูแล้วก็ไม่ได้คิดตามอะไร ดูเพื่อความบันเทิงและเอาความมันไปงั้นๆ
พอตอนนี้ (อายุ 25 ขวบแล้ว) มาดูซ้ำ ก็ได้แง่คิด ความสนุก และมุมมองที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนหลายอย่างเหมือนกัน
นักรายงานพยากรณ์อากาศ Bill Harding (Bill Paxton) มาหา Jo Harding (Helen Hunt) อดีตภรรยาซึ่งเป็นนักล่าพายุ เพื่อทำเรื่องเซ็นใบหย่า และไปแต่งงานกับ Dr. Melissa Reeves (Jami Gertz) แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องลับมาร่วมงานกันอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยภารกิจครั้งนี้คือการเอาเซ็นเซอร์ Dorothy ไปไว้ใจกลางพายุทอร์นาโด เพื่อจะได้ศึกษาและทำนายการเกิดทอร์นาโดที่มีประสิทธิภาพขึ้นได้ในอนาคต เพราะในสมัยนั้น ยังทำนายพายุล่วงหน้าได้แค่ 3 นาทีเท่านั้น ทีม Storm Chaser จึงต้องพยายามศึกษาและทำนายการเกิดพายุให้ได้ เพื่อจะได้เตือนภัยล่วงหน้าได้เร็วขึ้น
ประเด็นดราม่าของเรื่องมีแค่ปัญหารักสามเส้า แต่ไม่ได้เข้มข้นหรือซีเรียสมากนัก ออกแนวจะคลี่ปมได้ง่ายๆ ดื้อๆ เสียมากกว่า เหมือนพยายามใส่ดราม่ามางั้นๆ ตัดบทแฟนใหม่ของพระเอกทิ้งไปก็ไม่ได้รู้สึกขาดหายอะไร ส่วนประเด็นการต่อสู้แข่งขันกับทีมคู่แข่งก็ไม่ได้ฟาดฟันอะไรกันมาก นอกเสียจากแขวะกันไปแขวะกันมา และขับรถปาดกันไปปาดกันมา แค่นั้น

ความสนุกของหนังจึงอยู่ตรงที่พระนางของเราพยายามเอา Dorothy วิ่งไปหาพายุ และยังต้องรีบวิ่งหนีออกมาให้ทันก่อนตัวจะถูกถูกพายุกลืนเข้าไปด้วย ซึ่งซาวด์ประกอบก็ทำให้ลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง มันจริงๆ ถือว่าทำได้ดีมากๆ สมแล้วที่ได้ Nominated เข้าชิง Oscar สองรางวัล ได้แก่ Best Sound และ Best Effects เพราะ CG พายุและการทำลายล้างในฉากต่างๆ ทำออกมาได้เนียนและอลังการมากสำหรับวงการภาพยนตร์ในยุคนั้น (ถึงแม้จะมีบางฉากที่ขัดใจในความไม่สมจริงอยู่บ้าง เช่น พายุพัดจนวัวบิน รถแก๊สบิน แต่รถของพระเอกยังวิ่งไปหาพายุได้ โดยไม่มีทีท่าว่าจะปลิว)