รีวิวหนังThe Predatorเดอะ เพรดเดเทอร์
มาพบกันอีกแล้วนะคับท่านผู้ชม กลับมาพบกับและการรีวิวหนังสุดมัน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่อง The Predatorเดอะ เพรดเดเทอร์ เป็นหนังไซไฟต่างดาวที่อยู่กับเรามานานมาก มีทั้งภาคต่อของตัวเอง แล้วก็ยังมีผสมข้ามสายพันธุ์ไปเจอกับเหล่าเอเลี่ยนอีกด้วย ‘The Predator’ หรือชื่อไทย ‘เดอะ เพรดเดเทอร์’ ที่เป็นเหมือนการปลุกชีพให้กับมนุษย์ต่างดาวที่มีความสามารถในด้านการต่อสู้สูงส่งและน่าเกรงกลัวยิ่ง บัดนี้ พวกเขาได้กลับมาแล้ว
หน้าที่การกำกับหนังถูกเปลี่ยนมือมาเป็นของ Shane Black ผู้กำกับผู้ได้ชื่อว่าสร้างหนังสุดฮาได้สุดแนว อย่าง ‘The Nice Guys’ และ ‘Iron Man 3’ ครั้งนี้ เข้าได้สิทธิ์ในการกำหนดทิศทางใหม่ๆ ของหนังที่มีทั้งส่วนผสมของไซไฟ ระทึกขวัญ และคอมิดี้เบาสมอง
เราเกิดไม่ทัน แต่ก็เคยดู Predator (1987) แบบผ่าน ๆ ทางช่อง UBC สมัยเราเด็ก ๆ (เด็กขนาดไหน— ก็ตั้งแต่สมัยยังมี UBC…) ภาพ Arnold Schwarzenegger คลุกโคลนและไล่ล่ากับเอเลี่ยนยังคงจำได้ติดตาติดใจ แต่ภาคอื่น ๆ ต่อ ๆ มา เราไม่ได้ดู (จริง ๆ มีภาคนึง ซื้อแผ่นมาผิด เปิดดูมานิดหน่อย แต่ไม่สนุกเลย ก็เลยปิด ดูไม่จบ) ภาคปัจจุบัน 2018 เนื้อเรื่องอ้างอิงเชื่อมต่อจากภาคก่อน ๆ นิดหน่อยว่า เอเลี่ยนนี้ไม่ได้มาโลกครั้งแรก แต่เคยมาเยือนโลกของเรามาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่เนื้อเรื่องไม่ได้ต่อเนื่องกันซะทีเดียว ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเคยดูภาคก่อน ๆ มาก่อน ก็ดูภาคนี้ได้รู้เรื่อง ดูหนังใหม่
สิ่งหนึ่งที่แบล็คถือเป็นคัมภีร์ในงานเขียนบทคือการสร้างตัวละครและสถานการณ์ มิใช่แค่การเอาเรื่องไว้รองรับฉากแอ็คชั่นแบบไม่มีเหตุมีผลหรือไม่นำพาอารมณ์ใดๆดังนั้น ใน The Predator เราเลยได้เห็นการแอบใส่ตัวละครที่แบล็คเคยเขียนตั้งแต่ ควินน์ แมคเคนนา ที่แทบจะถอดแบบมาจาก ริกส์ คนมหากาฬ ทั้งบุคลิกบ้าระห่ำ เป็นทหารนอกคอกที่รัฐต้องการกำจัดทิ้ง และตัวละครสมทบทั้ง ดอยล์ และ แบ็กซ์ลีย์ ก็มีความเป็นคู่หูที่ดูขัดแย้งกันแบบเดียวกับหนังชุด Lethal Weapon
และไม่เพียงการนำคาแรกเตอร์มาใส่เท่านั้น แบล็คยังคงเอกลักษณ์ในการสร้างสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งกันสุดขั้วเช่น อารมณ์ขันที่มาในเวลาตัวละครอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน หรือการที่ตัวละครต่างวางแผนเป็นอย่างดีจนกระทั่งมีเหตุให้แผนแตกจนสถานการณ์นำไปสู่จุดที่เกินคาดเดา ซึ่งได้ทำให้การดำเนินเรื่องของ The Predator
สามารถบอกเล่าผ่านตัวละครมนุษย์ได้อย่างมีสีสันและแข็งแรงมากพอที่จะให้ตัว เพรตเดเทอร์ เป็นเพียงตัวร้ายที่เหล่าตัวเอกจะต้องต่อกรด้วย ไม่ใช่เป็นตัวละครที่เรื่องต้องพึ่งพาเพื่อให้คนดูสนุกสนานเหมือนหนังที่มีตัวละคร เพรตเดเทอร์ มาเป็นจุดขายเหมือนหนังเพรตเดเทอร์ยุคหลัง หนังใหม่
รีวิวหนังThe Predatorเดอะ เพรดเดเทอร์ เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเพรตเดเทอร์ นักล่าจากนอกโลกที่สังหารโหดลูกทีมจนไม่เหลือ ทำให้ ควินน์ แม็คเคนน่า (บอยด์ โฮลบรูค)จำต้องส่งอาวุธร้ายของมันกลับไปยังบ้าน แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อ โรรี่ (จาค็อบ เทร็มเบลย์) ลูกชายที่เป็นเด็กพิเศษ ดันไปปลดล็อคเรียกเพรตเดเทอร์มายังโลกจน ควินน์ต้องร่วมมือกับทีม “ลูนี่ย์” เหล่าทหารผ่านศึกที่มีปัญหาทางจิตและดร.คาซีย์ แบร็กเค็ตต์ (โอลิเวีย มุนน์)นักชีวะวิทยาด้านวิวัฒนาการ เพื่อหยุดเหล่าพรานเอเลี่ยนที่อาจเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นเกมล่าสุดสยองของพวกมัน
ภาคนี้ตัวเอกคือ สไนเปอร์ Quinn McKenna (Boyd Holbrook จาก Logan) ที่บังเอิญไปเจอ Predator ในป่าเม็กซิโกพอดี ทางการควบคุมตัวเขาและส่งไปอยู่ในกลุ่มอดีตทหารผ่านศึกที่มีปัญหาทางจิตและ PTSD ได้แก่ Nebraska (Trevante Rhodes จาก Moonlight), Coyle (Keegan-Michael Key จาก Tomorrowland), Baxley (Thomas Jane จาก The Mist) รีวิวหนังออนไลน์
Lynch (Alfie Allen จาก Game of Thrones), และ Nettles (Augusto Aguilera) ซึ่งต่อมามี Dr. Casey Bracket (Olivia Munn จาก X-Men: Apocalypse) ผู้เป็นนักชีววิทยาเชี่ยวชาญด้านนี้ เข้ามาร่วมทีมด้วย ทีนี้ Rory (Jacob Tremblay จาก Room) ลูกชายของ Quinn McKenna ดันมีของที่ Predator ต้องการอยู่ ทีมพระเอกจึงต้องไปตามช่วย Rory ก่อนที่ Predator จะตามไปเจอ
ภาคนี้มีความทันสมัยขึ้นกว่าเดิมตามยุคสมัย และสไตล์ของหนังก็ดูแตกต่างจากเดิมอยู่เหมือนกัน โทนมันไม่ได้ตึงเครียดหรือชวนลุ้นมากมายเท่าไหร่ เพราะภาคนี้กำกับโดย Shane Black (จาก Iron Man 3 และ The Nice Guys) มันก็เลยกลายเป็นหนัง แอ็คชั่น-ไซไฟ ที่มีความคอเมดี้ ทีมพระเอกนี่ยังกับคณะตลก บางฉากนี่จังหวะโคตรซิตคอม ไม่คิดว่าจะกล้าเล่นก็เล่น ก็ถือว่าหนังเซอร์ไพร์สเราเบา ๆ เพราะจากที่เราเห็นในเทรลเลอร์ เราไม่คาดหวังว่ามันจะมาสายฮาขนาดนี้เลยจริง ๆ ดูหนังใหม่
ความรู้สึกหลังดูหนัง The Predatorเดอะ เพรดเดเทอร์
นอกจากนี้ในฐานะคนที่เคยอยู่กับแฟรนไชส์ เพรตเดเทอร์ มาตั้งแต่ภาคแรก คราวนี้แบล็คได้ทำให้เรารู้จักกับตัวร่างกายและอุปกรณ์เสริมของเพรตเดเทอร์มากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการที่หนังภาคนี้ทำให้เราเห็นว่า หน้ากากและสนับแขนของเพรตเดเทอร์มีกลไกการทำงานอย่างไรมีอาวุธอะไรที่ซ่อนอยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่หนังทำให้เรารู้ว่าทำไมเพรตเดเทอร์ถึงมีร่างกายและการเคลื่อนไหวที่มีส่วนความคล้ายกับมนุษย์มาก
จนกลุ่มนักเคลื่อนไหวสายเฟมินิสต์เคยวิพากษ์ว่าใบหน้าของเพรตเดเทอร์มีความคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศหญิงจนทำให้คนตีความว่าหนัง Predator ปี 1987 กำลังพูดถึงความพ่ายแพ้ของความเป็นบุรุษ (Macho) ยังไงยังงั้น เปิดโอกาสให้แบล็คเล่นสนุกไปกับการวิพากษ์หนังยุค 80 หนังใหม่
ด้วยการใส่ตัวละคร ดร.คาซีย์ แบร็กเค็ตต์ ที่แม้จะได้สาวสวยเซ็กซี่อย่าง โอลิเวีย มุนน์ มาแสดง แต่แบล็คก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเธอเพียงแค่วัตถุทางเพศแต่ยังทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของหนังชุดนี้ที่เริ่มมีตัวละครผู้หญิงแกร่งๆมาบู๊และพูดคำหยาบแบบ “ฟัค” ทุกวรรคตอนไม่ต่างจากเหล่าหนุ่มๆก็ทำให้สถานภาพตัวละครหญิงดูจะเท่าเทียมและไม่ได้เป็นเพียงอาหารตาของชายหนุ่มเหมือนหนังสมัยก่อน
ภาคนี้ดูมีสตอรี่มากขึ้น มีการอธิบายว่าทำไมชื่อ Predator, มันมาทำอะไรที่นี่ ฯลฯ แต่เอาตามตรง เราว่ามันมั่ว ๆ งง ๆ ไปหน่อย เช่น สรุปนางเอกต้องไปทำอะไรที่แล็บ แล้วทำไมนักวิทยาศาสตร์คนนี้ถึงได้บู๊เก่งราวกับเป็นทหารหญิงผ่านศึก ฯลฯ แต่โดยรวมไดอะล็อกเขาก็เขียนมาสนุกดีนะ เอาเป็นว่า นี่แนะนำว่า ถ้าจะดูก็ไม่ควรไปคิดตามอะไรกับมันมากนัก ไหลไปตามน้ำ ก็จะพบว่า เออ… สนุกดี รีวิวหนังออนไลน์
โดยสรุป The Predator 2018 อาจไม่สามารถเทียบชั้นภาคแรกที่ขึ้นหิ้งไปแล้วได้ แต่เป็นภาคที่ถือว่าน่าจะช่วยให้แฟรนไชส์นี้เกิดใหม่ได้แน่ ๆ เพราะทำออกมาดี สนุก แอ็คชั่นผ่าน แถมมีฮาสามช่า เรียกว่าตอบโจทย์เรื่องความบันเทิงครบครัน (แค่ไปดูแก๊งคนบ้าทะเลาะกันเอง หรือดูคนบ้าปะทะเอเลี่ยน ก็สนุกแล้ว ไม่มีคำว่าเสียดายค่าตั๋ว) และมีการผสมผสานระหว่างหนังแอ็คชั่น-ไซไฟ ยุค ’80 กับความทันสมัยในยุคปัจจุบันได้อย่างดี