รีวิวหนังDEATH ON THE NILEฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์
มาพบกันอักแล้ว กับผมละการรีวิวหนังสุดมัน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่อง DEATH ON THE NILEฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์ 5 ปีหลังจากที่โลกได้รู้จักกับ ‘แอร์กูล ปัวโรต์’ นักสืบผู้โด่งดังชาวเบลเยียม ที่เคยพาเราเข้าไปร่วมไขคดีปริศนาฆาตกรรมสุดซับซ้อนซ่อนเงื่อนและแสนจะโหดเหี้ยมบนรถไฟตกรางกลางพายุหิมะมาแล้วใน ‘Murder on the Orient Express’ (2017) มาแล้ว
ในปีนี้ ‘เคนเน็ธ บรานาห์’ (Kenneth Branagh) ผู้กำกับและนักแสดงเจ้าของบทนักสืบอัจฉริยะหนวดเฟี้ยว ก็ขอหยิบหัสนิยายฆาตกรรมสุดโด่งดังอีกเล่มของ ‘อกาธา คริสตี’ (Agatha Christie) อีกหนึ่งเล่มที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1937 เคยดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 1978 และเป็นภาพยนตร์ฉายทางทีวีในปี 2004 กลับมาหาเรื่องหาทำให้นักสืบผู้รักความเป๊ะ และรักการหม่ำขนมเค้กผู้นี้ไม่ได้มีโอกาสท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจแบบสบายเนื้อสบายตัวกันอีกแล้ว
คราวนี้ ‘ไมเคิล กรีน’ (Michael Green) ผู้รับหน้าที่เขียนบทตั้งแต่ภาคที่แล้ว กลับมาดัดแปลงนวนิยายในจักรวาลปัวโรต์ (A Poirot Story) ของ ‘อกาธา คริสตี’ พาเราย้อนเรื่องราวกลับไปในปี 1937 ในขณะที่ปัวโรต์กำลังพักผ่อนอยู่ที่มหาพีระมิดกีซา (Pyramid of Giza) ประเทศอียิปต์ เขาได้รับคำร้องขอจากคู่รักข้าวใหม่ปลามันอย่าง เศรษฐีนีไฮโซ ‘ลินเน็ต ริดจ์เวย์ ดอยล์’ (Gal Gadot) และ นายหน้าค้าที่ ‘ไซมอน ดอยล์’ (Armie Hammer) ให้เดินทางไปที่เมืองอัสวาน (Aswan) ดูหนังใหม่
เพื่อคอยคุ้มกันทั้งคู่จาก ‘แจ็คเกอลีน เดอ เบลเลฟอร์ต’ (Emma Mackey) อดีตคนรักของไซมอน และ (อดีต) เพื่อนของลินเน็ต ที่ถูกเพ่งเล็งว่า เธออาจจะตามมาก่อเรื่องล้างแค้นทั้งคู่ระหว่างที่กำลังฮันนีมูนบนเรือสำราญล่องแม่น้ำไนล์สุดหรูหราที่มีชื่อว่า ‘คาร์นัก’ (Karnak)
โดยเวอร์ชั่นในปี 2022 นี้ก็ไม่น้อยหน้าเวอร์ชั่นก่อน ที่ระดมดาราตัวท็อปของยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นกัล กาด็อท อาร์มี่ แฮมเมอร์ เอมมา แม็คคีย์ และอีกหลายคน โดยบรรดานักแสดงมากหน้าหลายตา (และหลายสัญชาติ) ที่ปรากฏตัวอยู่ในหนังเรื่องนี้ล้วนกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมอำพรางที่เกิดขึ้นบนเรือสำราญ
แม้ว่าเรื่องราวใน Death on The Nile อาจจะดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า แต่ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของหนัง ก็เลือกที่จะให้เวลากับตัวละครอันหลากหลาย โดยเฉพาะการทำให้คนดูสนุกไปกับการทำความเข้าใจตัวละครเหล่านี้ ว่าใครกันที่น่าจะพอมีแรงจูงใจที่จะเป็นฆาตกร ดูหนังฟรี
รีวิวหนังDEATH ON THE NILEฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์ เรื่องย่อ/เนื้อเรื่อง
ภาพยนตร์เรื่อง Death on the Nile (2022) นั้นดัดแปลงมาจากหนังสือในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นนิยายสืบสวนสอบสวน ที่ถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1937 ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวจากปลายปากกาของ Agatha Christie (อากาธ่า คริสตี้) โดยในภาคนี้ ยังคงติดตามการสืบคดีของ นักสืบ เออร์กูล ปัวโรต์ ที่ภาคนี้เขาถูกจ้างไปสืบคดี และได้บังเอิญไปขึ้นเรือสำราญบนแม่น้ำไนล์ ระหว่างทริปล่องเรืออันสงบสุข จู่ๆในเช้าวันหนึ่ง เขาต้องได้พบเจอกับคดีฆาตกรรม ลินเน็ต ลิตเวย์ ทำให้การพักผ่อนของเขาครั้งนี้
ต้องกลายเป็นการทำงานแบบเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนักสืบ ปัวโรต์ ต้องทำการสืบคดี หาข้อมูล และนำข้อมูลมาปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวเพื่อไขปริศนา และตามหาฆาตกรตัวจริง ท่ามกลางทิวทัศน์และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของเมื่ออียิปต์ ความพิเศษของเล่มนี้ก็คือ มันถูกวางไว้ให้เป็นภาคต่อของ Murder on the Orient Express ในฉบับภาพยนตร์ด้วย
ตัวพล็อตเรื่องเองก็ยังคงใช้กลวิธีแบบ ‘whodunnit’ (ใครเป็นคนทำ ? ) ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็เป็นแนวทางหลัก ๆ ที่ใช้ในนิยาย และยังคงรูปแบบเดียวกับ ‘Murder on the Orient Express’ เป๊ะ ๆ เพียงแค่เปลี่ยนจากรถไฟเป็นเรือสำราญเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจริง ๆ หากเปรียบเทียบกับภาคก่อนหน้าก็คือเรื่องของจังหวะการดำเนินเรื่องครับ เพราะใน ‘Murder on the Orient Express’ ถูกเล่าเป็นเส้นเรื่องเดียว และ เดินเข้าสู่เรื่องแบบกระชับฉับไว แต่กลับในเรื่องนี้กลับตรงกันข้าม เพราะตัวเรื่องจะค่อย ๆ เล่าอย่างแช่มช้ากว่ามาก
กว่าจะมีคนตายก็ล่อเข้าไปครึ่งเรื่องแล้ว ตัวหนังในองก์แรก และครึ่งแรกขององก์ที่สองจึงเป็นการให้เวลาปูเรื่อง ทั้งเรื่องของปัวโรต์เอง และที่มาการชิงรักหักสวาทของอดีตเพื่อนและอดีตแฟนที่ทั้งหวานชื่นและขื่นขมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนจะค่อย ๆ สับเกียร์เร่งเครื่องในช่วงครึ่งหลัง หลังจากสิ้นเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น ดูหนังใหม่
ความรู้สึกหลังดูหนังDEATH ON THE NILEฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์
อีกจุดที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็คือ การคลี่คลายไขคดีครับ ทั้งสองภาคนี้ก็ยังคงวางปมให้คนดูได้ไขคดีตามสไตล์นิยายรหัสคดีแบบอกาธา คริสตีไปด้วย แต่สิ่งที่ถือว่าต่างออกไปในหนังภาคนี้ก็คือ การวางปมที่ดูจะง่ายและซับซ้อนน้อยกว่าภาคก่อน ๆ อยู่มากทีเดียว ทั้งในแง่ของบทที่ในภาคนี้ ดูจะซีเรียสน้อยกว่าภาคที่แล้วอยู่พอสมควร หรือแม้แต่สถานที่ ที่คราวที่แล้วเป็นรถไฟซึ่งมีความเป็นพื้นที่ปิดมากกว่า
ก็เลยทำให้ดูมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนและดูลึกลับ เดาใจไม่ได้สักทางและวางใจไม่ได้สักคนเดียว แต่ในขณะที่ในภาคนี้ เส้นเรื่องรหัสคดีที่วางไว้ดูจะซับซ้อนน้อยกว่า รวมทั้งสถานที่บนเรือสำราญที่ประดับตกแต่งด้วยกระจกและพื้นที่เปิดโล่งเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยทำให้ดูมีความเป็นส่วนรวมมากกว่า
ตัวหนังก็เลยทำให้คนร้ายในภาคนี้อาจจะแอบซ่อนอะไรไม่ได้เยอะ เลยหันไปใช้กลวิธีการซ่อนเงื่อนด้วยวิธีการหันเหความสนใจ รวมทั้งการผูกปมเกี่ยวกับความรัก โดยเฉพาะความรักที่มากเกินควรจนกลายเป็นหมกมุ่น และเรื่องของมิตรภาพที่มาพร้อมกับผลประโยชน์ ซึ่งถือว่าเป็นธีมหลักที่ขับเคลื่อนเรื่องเลยก็ว่าได้ (ซึ่งขอไม่ลงลึกว่าเป็นแบบไหนนะครับ) ดูหนังฟรี
รวมถึงการเพิ่มกลิ่นอายความสยองขวัญเข้ามาด้วยเล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้ภาพรวมที่ได้ในภาคนี้ อาจจะไม่ได้ซับซ้อนลึกลับและพิศวงชวนให้ซีเรียสคิดหนักเหมือนภาคแรก และออกจะเดาง่ายเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ควรพลาดบทสนทนาของปัวโรต์และตัวละครอื่น ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดสำคัญนะครับ ของแบบนี้พลาดแล้วพลาดเลย
ความน่าสนใจของภาคนี้อีกจุดหนึ่งก็คือ ตัวหนังไม่ได้เล่าเรื่องแค่ปริศนาฆาตกรรมเหมือนอย่างเรื่องก่อนหน้าแต่เพียงอย่างเดียว สิ่งที่พิเศษสำหรับภาคนี้ก็คือ การสอดแทรกเรื่องราวจากมุมมองของปัวโรต์เองเอาไว้ด้วย ทั้งมุมมองของการต้องทำหน้าที่นักสืบที่ไม่ใช่เพียงแค่โผล่มาไขคดีแล้วก็ไป แต่ในหนังเราจะได้เห็นภาพที่สะท้อนให้เห็นมุมมองและเรื่องราวเกี่ยวกับเขามากขึ้นอีกมากทีเดียว ทั้งคำถามต่าง ๆ ที่ถูกทิ้งไว้ในภาคที่แล้ว เรื่องราวเล็ก ๆ ที่เล่าย้อนไปถึงปูมหลังของปัวโรต์ รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของเขาเองด้วย ดูรีวิวหนังสุดมันได้ที่นี่
และอีกเรื่องที่ต้องชมก็คือ หากจุดเด่นของ ‘Murder on the Orient Express’ คือการวางมุมกล้องที่สวยงามแปลกตา ในเรื่องนี้ก็ยังคงเจนจัดและพิถีพิถันกับเรื่องของภาพและมุมกล้อง โดยเฉพาะทิวทัศน์ประเทศอียิปต์ที่ถ่ายทอดผ่านการถ่ายทำด้วยฟิล์มออกมาได้สวยงามจริง ๆ ทั้งท่าเรือเมืองอัสวาน (Aswan) ทิวทัศน์แม่น้ำไนล์บนเรือสำราญที่เราจะได้เห็นทุกมุมทั้งกลางวันและกลางคืน มหาพีระมิดกีซา (Pyramid of Giza) ที่ถูกวางมุมกล้องได้ออกมาสมมาตรถูกใจคุณปัวโรต์ และวิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel) ที่มีรูปแกะสลักหินใหญ่ยักษ์ที่สวยงามและมีตำนานที่คู่รักยังแทบจะอดใจไม่ไหว
โดยสรุป ‘Death on the Nile’ หรือ ‘ฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์’ แม้ความเป็น whodunnit จะดูซับซ้อนและปมเบาะแสที่ทิ้งไว้ให้จะดูทำงานน้อย เดาง่ายกว่าภาคที่แล้ว และการเดินเรื่องที่อาจจะไม่ถูกใจคอหนังสายสับตีนแตก แต่ก็พอจะทดแทนได้ด้วยพล็อตที่ยังคงมีความซับซ้อน น่าติดตาม ไดอะล็อกที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่พลาดไม่ได้ ทีมนักแสดงที่แม้จะเยอะยุ่บยั่บ แต่ก็โดดเด่น ไม่ซ้อนทับบทบาทและแย่งซีนกันเอง รวมถึงงานด้านภาพที่ยังคงสวยงามไว้ใจได้